วาเลนไทน์
ประวัติ
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้ายและทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
[แก้]นักบุญวาเลนไทน์
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) - valentine มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสต์มาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก
ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้นได้ มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา
วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น...ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”
จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมืออธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา แล้วเธอก็มองเห็น เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร
ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine - เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม
[แก้]การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
- กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
- กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
- กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
- กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
- 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
- 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
- 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
- 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
- 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
- 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
- 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
- 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
- 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
- 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
- 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
- 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
- 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
- 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
- 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
- 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
- 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
- 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
- 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
- 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
- 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
วาเลนไทน์ บวชเป็นพระสงฆ์ที่กรุงโรมและได้เป็นพระสังฆราชในเวลาต่อมา ท่านได้ถูกจับโดยคำสั่งของจักรพรรดิโกลดิโอ ที่ 2 เพราะท่านขึ้นชื่อลือเด่นในทางบำเพ็ญฤทธิ์กุศลหลายประการขั้นแรกจักรพรรดิทรงซักถามวาเลนไทน์ด้วยความมักรู้มักเห็น แต่ต่อมาทรงรู้สึกสนพระทัยในคำสอนของคริสตัง ที่สุดพระองค์ตรัสว่า : “คำสอนของบุรุษผู้นี้ฟังแล้วจับใจจริง ๆ “ แต่ในขณะที่พระองค์ทรงเริ่มมีความเชื่อ ท่านผู้ว่าราชการกรุงโรมก็จัดให้ผู้พิพากษานายหนึ่งเข้ามาซักถามท่านวาเลนไทน์ ผู้พิพากษาคนนี้เยาะเย้ยท่านในเรื่องที่คริสตังชอบกล่าวว่า “พระคริสต์ทรงเป็นองค์ความสว่างของโลก” ลูกสาวของผู้พิพากษาคนนี้ตาบอด วาเลนไทน์ได้ทำอัศจรรย์ให้หาย อัสเตริอุส ผู้พิพากษาจึงกลับใจเชื่อถึงพระเยซูคริสตเจ้า เมื่อเห็นดังนั้น ท่านผู้ว่าราชการเกิดความอิจฉา และต้องการกำจัดท่านวาเลนไทน์ จึงจับท่านวาเลนไทน์ไปขังไว้ในคุกมืด แล้วใช้ไม้เป็นปุ่มเป็นตาเฆี่ยนท่านอย่างสาหัส ที่สุดนำท่านไปตัดศีรษะ นักบุญวาเลนไทน์ เป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวเมืองตารัสก็อง (ภาคใต้ของฝรั่งเศส) ธรรมเนียมเกี่ยวกับการส่งบัตรอวยพร ส่งความรักในวันเวนไทน์นั้น ไม่มีใครทราบว่าธรรมเนียมนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เคยมีเรื่องเล่าไว้ว่า นกจะเริ่มจับคู่กันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ฉะนั้นเราจึงได้ส่งบัตรอวยพรและส่งความรักในวันดังกล่าวซึ่งตรงกับวันฉลองศาสนนามของท่านนักบุญวาเลนไทน์ จึงทำให้ชื่อของท่านปรากฏขึ้นในวันแห่งความรักตามธรรมเนียมดังกล่าว ข้าแต่พระเป็นเจ้า พระองค์โปรดให้นักบุญวาเลนไทน์เป็นแบบอย่างและกำลังใจแก่พวกเราในเรื่องของความเชื่อ และความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ โดยอาศัยแบบอย่างจากท่านที่มั่นคงต่อพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ทำให้เราได้มีเวลาสวดภาวนามากขึ้น และยึดมั่นในความเชื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวตลอดไปด้วยเทอญ
|
ความสนิทสัมพันธ์นำคนรักเข้าไปลึกถึงวิญญาณ ของกันและกันจึงล่อแหลมต่อการติฉินนินทา อับอานขายหน้า และคำพูดหักหาญน้ำใจกัน ความเมตตาคือความดีอย่างเดียวที่แข็งพอจะปกป้องความเครียด ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจ และความไม่เข้าใจกัน ขัดกัน นำมาซึ่งความแตกร้าว ทำลายคุณค่าความรู้สึกดี ๆ ต่าง ๆ ในตัวคนที่เรารักจนหมดสิ้นจงฟังอย่างไหวทันความสนิทสัมพันธ์เปิดโอกาสให้เราได้พูดอย่างเปิดเผยตามความรู้สึกที่แท้จริงเพียงเพื่อทั้งคู่ได้ทราบข้อเท็จจริง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น การรอคอยให้เวลาเข้าใจจะเป็นตัวค้ำประกันว่า เราบอกอะไรเขา เขาก็ได้ยินอย่างที่บอก ไม่ใช่พูดคนละเรื่องวิธีการง่าย ๆ ได้แก่ เริ่มทักทายกันด้วยการเรียกชื่อต้น นั่งลงคุยกัน มองตากันเพื่อจะไม่เกิดความเบื่อหน่าย การตัดสินใจใ นเรื่องสำคัญ ๆ เรามักทำกันอย่างลวก ๆ การสบประมาทเป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุลและไม่อยากพยายามเข้าใจ ฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไปความสนิทสัมพันธ์ทำให้เราตั้งใจฟังจนเรื่องจบด้วยความอดทนและมองในแง่มุมที่เหมาะสม ( แง่มุมของเราอาจผิดก็ได้ และแง่มุมของเขาอาจถูกก็ได้ ) ดังนั้ นจึงไม่ควรรีบเสนอแนะและพยายามอธิบายให้ทราบเสียก่อนว่า คนรักของเราต้องการให้เรารู้เรื่อง อะไร เขา / เธอ กำลังปวดร้าว เรื่องแค้นใจเก่า ๆ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแฟนเก่า ) หรือไม่ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ เช่น ติดเหล้า หลงผู้หญิง กินมากเกิน เป็นต้น การรับฟังอย่างไหวทันจะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ อยู่ภายใ นใจคนรักว่าต้องการบอกอะไรเขา แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ อาจเพราะเป็นเรื่องน่าอับอายจึงหยั่งเชิงดูก่อนหรือทดสอบความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นต้น รู้กาลเทศะความสนิทสัมพันธ์จะช่วยให้รู้กาละเทศะ อะไรควร ไม่ควร จงพูดให้ถูกเวลาและสถานที่ การรอจังหวะเวลาอันควรคือมารยาทอันงดงามและรู้จักเกรงอกเกรงใจ คนเรารักกันคำพูดไม่สำคัญเท่าน้ำเสียง การพูดให้ถูกเวล่ำเวลารู้ว่าที่ไหนควรพูด ไม่ควรพูด ต่างหากที่คนรักของเราอยากให้เราทำได้เช่น ไม่ฉีกหน้ากันต่อหน้าคนอื่น ไม่เล่าเรื่องบนเตียงในที่ประชุมกลุ่มแม่บ้านเวลาอยู่กันตามลำพัง จึงเป็นเวลาเหมาะแก่การออกความคิดเห็น สามารถวิจารณ์กันอย่างสร้างสรรค์หรือแสดงอารมณ์ออกมา คนรักที่ดีจะรอโอกาสอันควรที่ จะแสดงออกมาหลังจากได้เตรียมคำพูดที่เหมาะสมและแน่ใจว่าคนรักของเขา / เธอ จะเข้าใจเพราะมีกาละเทศะ จึงไม่เสี่ยงแสดงอารมณ์รุนแรงต่อคนรักในที่สาธารณะมีกาลเทศะแปลว่าไม่สร้างปัญหาก่อนออกงานสังคม หรือเวลาแขกมาบ้าน ไม่ทำลายบรรยากาศของวันพิเศษหรือทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วกลับแย่หนักลงไปอีก มีเวลาและโอกาสอื่นที่เราจะได้แสดงความคิดเห็น ความสนิทสัมพันธ์กันมาก ๆ ก็จะรู้เองว่าเมื่อไร ยามเขามีอารมณ์อย่างไรจึงจะบอกได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็แก้ของมันไปเองแล้ว หรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป นักแก้ปัญหาความสนิทสัมพันธ์สอนให้เรารู้ว่า ปัญหาที่เคยแก้ไขสำเร็จมาแล้วในอดีต อาจกลับกลายมาเป็นปัญหาในปัจจุบันได้อีก ถ้าคน รักเกิดไปสะกิดความทรงจำที่น่าอาย ซึ่งเรื่องที่หัวเราะไม่ออกให้อีกฝ่ายฟังอยู่บ่อย ๆ การตอกย้ำทุกครั้งที่พบปัญหาเดิมหรือปัญหาใหม่ เช่นนี้จะทำให้ความโกรธแค้นฝังรากลึกลงไป พฤติกรมของคน รักยิ่งวันก็ยิ่งเก็บตัว จำไว้ว่าแม้แต่ฆาตกรก็ยังไม่ยอมขึ้นศาล ในความผิดซ้ำสอง หนทาง 4 อย่างที่ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นคือถ้าเราให้อภัยได้ เวลาจะช่วยให้เราลืมได้ ถ้าเราเป็นผู้เริ่มต้นใหม่ ความรักจะผลักดันให้เราสานต่อเข้าข้างคนที่เรารัก กลมเกลียว สมานฉันท์กัน เก็บข้อแตกต่างของกันและกันไว้เป็นอดีต จำไว้ว่า คนที่ขุดค้นอดีตเพื่อฝังข้อขัดแย้งในปัจจุบัน มักจะเป็นผู้แพความผันแปรของชีวิตความสนิทสัมพันธ์ ช่วยให้เราอดทนต่อความผันแปรของชีวิตที่ต้องเกิดขึ้นได้ อาศัยความรัก ความทะนุถนอมน้ำใจกัน รู้ใจเขาใจเรา ผ่อนสั้นผ่อนยาว จะช่วยบรรเทาอารมณ์ความเจ็บปวดรุนแรง ความเหงา ความว้าเหว่ เพราะความผันแปรของชีวิตลงไปได้ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง การให้ความสำคัญและเวลา การเอาใจใส่ต่อคนรักก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วยความสนิทสัมพันธ์ช่วยให้ความรักยังคงอยู่ในความพอดีได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมทิ้งสิ่งเก่า ๆ และปรับตัวให้เข้กับสิ่งใหม่ สิ่งเก่า ๆ ย่อมขึ้นสนิม เป็นธรมดาก่อนตั ดสินใจอะไรก็ให้นึกถึงผลเสียที่จะตามมาเสียก่อน ถ้าเป็นงานใหม่ที่ต้องทิ้งภรรยา / สามี ให้อยู่บ้านตามลำพัง ความห่างเหินย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยให้ความสนิทสัมพันธ์ถึงจุดวิกฤตนั้นมันคุ้มกันไหม ?เงียบเสียก็หมดเรื่องความสนิทสัมพันธ์สอนให้รู้ว่า การไม่ได้โต้ตอบบางครั้งก็ช่วยให้ครอบครัวมีสันติสุข การใช้คำพูดที่ทำให้เขา / เธอ ไม่รู้สึ กว่าตัวเองบกพร่องหรือทำผิด จะช่วยไม่ให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงหรือ " ระเบิดอารมณ์ " ใส่กันยามใดที่ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงก็เงียบเสีย กล้ำกลืนลดทิฐิลงบ้าง ให้เวลาคนรักได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากัน ฝ่ายหนึ่งเงียบเสียก็หมดเรื่อง เพราะการตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังเจ็บใจสักนิดดีกว่าแตกร้าวจนปวดใจไปตลอดชีวิต ถามตัวเองว่า" การไม่โต้ตอบเขา / เธอ คุ้มไหม ? " " การชนะเขา / เธอ ก็จริงแต่มันคุ้มกับความปวดร้าวระบมของจิตใจไหม ? "จริงอยู่บางครั้งเรต้องแสดงความคิเห็นออกมาและทุกข์ทรมานเพระความเห็นไม่ตรงกันบ้าง นี่เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่และจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มีหลายครั้งทีเราต้องกล้าที่จะเงียบฟังกันและกันบ้าง
ความสนิทสัมพันธ์นำคนรักเข้าไปลึกถึงวิญญาณ ของกันและกันจึงล่อแหลมต่อการติฉินนินทา อับอานขายหน้า และคำพูดหักหาญน้ำใจกัน ความเมตตาคือความดีอย่างเดียวที่แข็งพอจะปกป้องความเครียด ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจ และความไม่เข้าใจกัน ขัดกัน นำมาซึ่งความแตกร้าว ทำลายคุณค่าความรู้สึกดี ๆ ต่าง ๆ ในตัวคนที่เรารักจนหมดสิ้น
จงฟังอย่างไหวทัน
ความสนิทสัมพันธ์เปิดโอกาสให้เราได้พูดอย่างเปิดเผยตามความรู้สึกที่แท้จริงเพียงเพื่อทั้งคู่ได้ทราบข้อเท็จจริง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น การรอคอยให้เวลาเข้าใจจะเป็นตัวค้ำประกันว่า เราบอกอะไรเขา เขาก็ได้ยินอย่างที่บอก ไม่ใช่พูดคนละเรื่อง
วิธีการง่าย ๆ ได้แก่ เริ่มทักทายกันด้วยการเรียกชื่อต้น นั่งลงคุยกัน มองตากันเพื่อจะไม่เกิดความเบื่อหน่าย การตัดสินใจใ นเรื่องสำคัญ ๆ เรามักทำกันอย่างลวก ๆ การสบประมาทเป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุลและไม่อยากพยายามเข้าใจ ฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป
ความสนิทสัมพันธ์ทำให้เราตั้งใจฟังจนเรื่องจบด้วยความอดทนและมองในแง่มุมที่เหมาะสม ( แง่มุมของเราอาจผิดก็ได้ และแง่มุมของเขาอาจถูกก็ได้ ) ดังนั้ นจึงไม่ควรรีบเสนอแนะและพยายามอธิบายให้ทราบเสียก่อนว่า คนรักของเราต้องการให้เรารู้เรื่อง อะไร เขา / เธอ กำลังปวดร้าว เรื่องแค้นใจเก่า ๆ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแฟนเก่า ) หรือไม่ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ เช่น ติดเหล้า หลงผู้หญิง กินมากเกิน เป็นต้น การรับฟังอย่างไหวทันจะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ อยู่ภายใ นใจคนรักว่าต้องการบอกอะไรเขา แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ อาจเพราะเป็นเรื่องน่าอับอายจึงหยั่งเชิงดูก่อนหรือทดสอบความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นต้น
รู้กาลเทศะ
ความสนิทสัมพันธ์จะช่วยให้รู้กาละเทศะ อะไรควร ไม่ควร จงพูดให้ถูกเวลาและสถานที่ การรอจังหวะเวลาอันควรคือมารยาทอันงดงามและรู้จักเกรงอกเกรงใจ คนเรารักกันคำพูดไม่สำคัญเท่าน้ำเสียง การพูดให้ถูกเวล่ำเวลารู้ว่าที่ไหนควรพูด ไม่ควรพูด ต่างหากที่คนรักของเราอยากให้เราทำได้เช่น ไม่ฉีกหน้ากันต่อหน้าคนอื่น ไม่เล่าเรื่องบนเตียงในที่ประชุมกลุ่มแม่บ้าน
เวลาอยู่กันตามลำพัง จึงเป็นเวลาเหมาะแก่การออกความคิดเห็น สามารถวิจารณ์กันอย่างสร้างสรรค์หรือแสดงอารมณ์ออกมา คนรักที่ดีจะรอโอกาสอันควรที่ จะแสดงออกมาหลังจากได้เตรียมคำพูดที่เหมาะสมและแน่ใจว่าคนรักของเขา / เธอ จะเข้าใจเพราะมีกาละเทศะ จึงไม่เสี่ยงแสดงอารมณ์รุนแรงต่อคนรักในที่สาธารณะ
มีกาลเทศะ
แปลว่าไม่สร้างปัญหาก่อนออกงานสังคม หรือเวลาแขกมาบ้าน ไม่ทำลายบรรยากาศของวันพิเศษหรือทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วกลับแย่หนักลงไปอีก มีเวลาและโอกาสอื่นที่เราจะได้แสดงความคิดเห็น ความสนิทสัมพันธ์กันมาก ๆ ก็จะรู้เองว่าเมื่อไร ยามเขามีอารมณ์อย่างไรจึงจะบอกได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็แก้ของมันไปเองแล้ว หรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
นักแก้ปัญหา
ความสนิทสัมพันธ์สอนให้เรารู้ว่า ปัญหาที่เคยแก้ไขสำเร็จมาแล้วในอดีต อาจกลับกลายมาเป็นปัญหาในปัจจุบันได้อีก ถ้าคน รักเกิดไปสะกิดความทรงจำที่น่าอาย ซึ่งเรื่องที่หัวเราะไม่ออกให้อีกฝ่ายฟังอยู่บ่อย ๆ การตอกย้ำทุกครั้งที่พบปัญหาเดิมหรือปัญหาใหม่ เช่นนี้จะทำให้ความโกรธแค้นฝังรากลึกลงไป พฤติกรมของคน รักยิ่งวันก็ยิ่งเก็บตัว จำไว้ว่าแม้แต่ฆาตกรก็ยังไม่ยอมขึ้นศาล ในความผิดซ้ำสอง
หนทาง 4 อย่างที่ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นคือ
ถ้าเราให้อภัยได้ เวลาจะช่วยให้เราลืมได้ ถ้าเราเป็นผู้เริ่มต้นใหม่ ความรักจะผลักดันให้เราสานต่อ
เข้าข้างคนที่เรารัก กลมเกลียว สมานฉันท์กัน เก็บข้อแตกต่างของกันและกันไว้เป็นอดีต จำไว้ว่า คนที่ขุดค้นอดีตเพื่อฝังข้อขัดแย้งในปัจจุบัน มักจะเป็นผู้แพ
ความผันแปรของชีวิต
ความสนิทสัมพันธ์ ช่วยให้เราอดทนต่อความผันแปรของชีวิตที่ต้องเกิดขึ้นได้ อาศัยความรัก ความทะนุถนอมน้ำใจกัน รู้ใจเขาใจเรา ผ่อนสั้นผ่อนยาว จะช่วยบรรเทาอารมณ์ความเจ็บปวดรุนแรง ความเหงา ความว้าเหว่ เพราะความผันแปรของชีวิตลงไปได้
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง การให้ความสำคัญและเวลา การเอาใจใส่ต่อคนรักก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย
ความสนิทสัมพันธ์ช่วยให้ความรักยังคงอยู่ในความพอดีได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมทิ้งสิ่งเก่า ๆ และปรับตัวให้เข้กับสิ่งใหม่ สิ่งเก่า ๆ ย่อมขึ้นสนิม เป็นธรมดาก่อนตั ดสินใจอะไรก็ให้นึกถึงผลเสียที่จะตามมาเสียก่อน ถ้าเป็นงานใหม่ที่ต้องทิ้งภรรยา / สามี ให้อยู่บ้านตามลำพัง ความห่างเหินย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยให้ความสนิทสัมพันธ์ถึงจุดวิกฤตนั้นมันคุ้มกันไหม ?
เงียบเสียก็หมดเรื่อง
ความสนิทสัมพันธ์สอนให้รู้ว่า การไม่ได้โต้ตอบบางครั้งก็ช่วยให้ครอบครัวมีสันติสุข การใช้คำพูดที่ทำให้เขา / เธอ ไม่รู้สึ กว่าตัวเองบกพร่องหรือทำผิด จะช่วยไม่ให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงหรือ " ระเบิดอารมณ์ " ใส่กัน
ยามใดที่ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงก็เงียบเสีย กล้ำกลืนลดทิฐิลงบ้าง ให้เวลาคนรักได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากัน ฝ่ายหนึ่งเงียบเสียก็หมดเรื่อง เพราะการตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง
เจ็บใจสักนิดดีกว่าแตกร้าวจนปวดใจไปตลอดชีวิต ถามตัวเองว่า
" การไม่โต้ตอบเขา / เธอ คุ้มไหม ? "
" การชนะเขา / เธอ ก็จริง
แต่มันคุ้มกับความปวดร้าวระบมของจิตใจไหม ? "
จริงอยู่บางครั้งเรต้องแสดงความคิเห็นออกมาและทุกข์ทรมานเพระความเห็นไม่ตรงกันบ้าง นี่เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่และจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มีหลายครั้งทีเราต้องกล้าที่จะเงียบฟังกันและกันบ้าง